หน้าเว็บ

ศิลปะสากลสมัยประวัติศาสตร์

ศิลปะสากลสมัยประวัติศาสตร์
 

1. ศิลปะยุคเมโสโปเตเมีย (Mespotemia Art)

     ศิลปะเมโสโปเตเมีย มีอายุประมาณ 8,000 - 146 ปีก่อนคริสตกาล เป็นงานศิลปะที่เจริญในลุ่มแม่น้ำไทกรีส -ยูเฟตีส ซึ่งปัจจุบันเป็นดินแดนบางส่วนของประเทศอิรัก อิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน เป็นศิลปะที่อยู่ในยุคร่วมสมัยกับศิลปะอียิปต์อีกกลุ่มหนึ่ง เมโสโปเตเมียมีพื้นที่กว้างขวางและมีความอุดมสมบูรณ์มาก ทำให้มีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ตั้งถิ่นฐานประกอบด้วยชนชาติ ซูเมอเรียน บาบิโลเนีย แอสสิเรีย และเปอร์เซีย ตามลำดับ เริ่มจากซูเมอเรียนและบาบิโลเนีย เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นผลทำให้มีศึกสงครามแย่งชิงดินแดนมาตลอด ศิลปะยุคเมโสโปเตเมียแบ่งได้ดังนี้ 
     ด้านงานสถาปัตยกรรม มักสร้างให้สูงใหญ่เหมือนภูเขา นิยมประดับแก้วหินในสถาปัตยกรรมนั้นๆ ด้วย สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน ห้องสมุดแห่งแรกของโลก 
    ด้านงานประติมากรรม มีทั้งแบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องราวกิจกรรมของพระมหากษัตริย์ มีการประดับเปลือกหอย หินสี มีความสามารถในการแสดงออกและเลือกวัสดุได้อย่างเหมาะสม ส่วนภาพนูนต่ำเป็นรูปการล่าสัตว์ การทำสงคราม 
    ด้านงานจิตรกรรม เขียนง่ายๆ ไม่เน้นรายละเอียด ไม่มีแสงเงา มีความคล้ายคลึงกับอิยิปต์ตรงการจัดวาง คือ ภาพหน้าคน แขน ขาจะหันข้าง แต่ลำตัวหันด้านหน้า นอกจากนี้พวกเขายังมีอักษรใช้ เรียกว่า อักษรลิ่ม หรือคูนิฟอร์ม 


ภาพนูนต่ำรูปสิงโต สมัยบาบิโลเนียน


                                                                         อักษรคูนิฟอร์ม



ซิกกูแรตแห่งเมืองอูร์ ในอิรัก

สวนลอยบาบิโลน



2. ศิลปะยุคอียิปต์ (Egypt Art)


     (2650 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 510) ชาวอียิปต์มีศาสนาและพิธีกรรมอันซับซ้อน แทรกซึมอยู่เป็นวัฒนธรรมอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน มีการนับถือเทพเจ้าที่มีลักษณะอันหลากหลาย ดังนั้น
   
   งานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ส่วนมาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ ซึ่งมีความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ได้อีก จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดี และนำสิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย
ด้านงานสถาปัตยกรรม

      จุดมุ่งหมายของการสร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมของอียิปต์มาจากการสร้างขึ้นเพื่อคนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมนั้นๆ เช่นการสร้างพีระมิด และมัสตาบา โดยภายในพีระมิดจะแบ่งเป็นห้องๆ สำหรับเก็บศพที่ทำเป็นมัมมี่และเก็บรักษาทรัพย์สินเครื่องใช้ของผู้ตายเพราะเชื่อว่าผู้ตายจะสามารถนำไปใช้ได้ในโลกหน้า 
      ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมของอียิปต์คือ จะมีลักษณะใหญ่โต แข็งแรง เพราะสถาปนิกมีความสามารถในการทำโครงสร้างแบบวางพาดด้วยหินซ้อนกันเป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม
มาใช้ พีระมิดที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดคือ พีระมิดกิซาห์ของกษัตริย์คีออปส์และพีระมิดของกษัตริย์คูฟู



พีระมิดคูฟู (the great pyramid of giza)


สุสานของฟาโรห์รามเรสที่ 2

ด้านงานประติมากรรม

      ประติมากรรมของศิลปะอียิปต์มีลักษณะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ทึบตัน และให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรงแต่ไม่เน้นกล้ามเนื้อ มักตกแต่งด้วยแก้วหินสี การทาสี และปิดทองประดับประดา ที่พบเห็นได้บ่อยคือรูปมนุษย์กับสัตว์อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่เคารพบูชา เช่น รูปประติมากรรมฟาโรห์ขนาดใหญ่ รูปสลักหินสฟิงซ์ รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4 พระสวามี ลักษณะประติมากรรมของอียิปต์ได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติ เน้นความเชื่อเรื่องวิญญาณ มีทั้งประติมากรรมแบบลอยตัวและแบบนูนต่ำ ส่วนรูปคนจะคล้ายๆ กับหุ่น



รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4


รูปปั้นฟาโรห์ตุตันคาเม

พระเศียรของพระนางเนเฟอติตติ (Nefertiti)


ด้านงานจิตรกรรม
      วัตถุประสงค์หลักของการสร้างสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมก็เพื่อประดับตกแต่งในงานด้านสถาปัตยกรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงพบตามฝาผนังภายในห้องต่างๆ ของพีระมิด แสดงออกอย่างเด่นชัดในเรื่องความเชื่อของโลกหน้าและเชื่อว่าฟาโรห์เป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด ในภาพเขียนพบทั้งรูปคนและสัตว์ เป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดตัวของบุคคลนั้นไม่ได้แสดงถึงอายุแต่แสดงถึงสถานะของบุคคล เช่นฟาโรห์มีขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือพระราชินี และบริวารมีขนาดเล็กลง ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือจิตรกรรมรูปคนมักไม่คำนึงถึงลักษณะตามธรรมชาติ เช่น เขียนส่วนหัวจนถึงเท้าเป็นรูปด้านข้าง แต่เขียนตาและทรวงอกเป็นรูปด้านหน้า นอกจากนี้ยังแสดงความใกล้ไกลของภาพด้วยการวาดทับซ้อน เช่น จิตรกรรมฝาผนังรูปกลุ่มนางร้องไห้ในสุสานของราโมเซส



ภาพเขียนจากสีธรรมชาติ


3. ศิลปะยุคกรีก (Greece Art)

      (500 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 440) ชาวกรีกมีความเชื่อว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์ และไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธีฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์
ด้านงานประติมากรรม

     ประติมากรรมภาพคนจะแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ ให้สมบูรณ์ที่สุด ปราศจากเครื่องนุ่มห่ม ชาวกรีกจึงนิยมปั้นและแกะสลักรูปคนเปลือยกายไว้มากมาย 
    งานประติมากรรมลอยตัวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เทพธิดาวีนัส (Venus) รูปเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) รูปนักกีฬาไมรอน (Myron) ประติมากรรมโลหะสัมฤทธิ์รูปเด็กหนุ่ม เป็นรูปเปลือยที่มีส่วนสัดของร่างกาย ตลอดจนการจัดวางท่วงท่าได้อย่างงดงาม


 
รูปปั้นวีนัส เดอ มิโล (Venus de Milo)

 
เทพเจ้าอพอลโล

                    
                      
นักกีฬาไมรอน (Myron)


ด้านงานจิตรกรรม

     กรีกไม่นิยมสร้างจิตรกรรมนักเพราะถือว่าไม่อาจถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะที่แท้จริงได้ ดังนั้นงานจิตรกรรมส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบการประดับตกแต่งบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆเช่น ไห แจกัน อีกทั้งมีภาพบนผนัง ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นจิตรกรรมแท้ของกรีกก็ยังขาดความเป็นเอกลักษณ์เพราะมักเป็นภาพเล่าเรื่อง งานด้านจิตรกรรมพบได้บนผนังต่างๆ และบนภาชนะ มีลักษณะเด่นๆคือ
      1. แสดงความรู้สึกตื้นลึกด้วยการเขียนซ้อนกัน
      2. ใช้สีจำกัดและแบน
      3. ใช้ลวดลายประกอบกิจกรรมรูปคน
      4. เรื่องราวของภาพประกอบในไหเป็นเรื่อง อิเลียดและโอดิสซี แบ่งเป็นตอนๆ
      5. นิยมใช้สีดำและสีแดงเขียนด้วยน้ำยาเคลือบ
      6. ลักษณะง่าย ชัดเจน



ภาพบนเเจกันเรื่องอิเลียดและโอดิสซี




ด้านงานสถาปัตยกรรม

      สถาปัตยกรรมกรีก ใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคาน เช่นเดียวกับอียิปต์ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้น ๆ ก็จะเป็นฝาผนัง โดยปราศจากหน้าต่าง ซึ่งจะกั้นเป็นห้องต่างๆ 1 - 3 ห้อง ปกติสถาปนิกจะสร้างเสารายล้อมรอบอาคารหรือสนามด้วย มีการสลับช่วงเสากันอย่างมีจังหวะ ระหว่างเสากับช่องว่างระหว่างเสา ทำให้พื้นภายนอกรอบๆวิหารมีความสว่าง และมีรูปทรงเปิดมากกว่าสถาปัตยกรรมอียิปต์ และมีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่โตจนเกินไป มีรูปทรงเรียบง่าย สถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสสิคที่สำคัญ มีแตกต่างกัน 3 ประเภทคือ สถาปัตยกรรมแบบ Doric, Lonic, and Corinthian ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกว้างขวางเท่ากับสถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic เพราะว่าสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นมีความสลับซับซ้อนและมีรายละเอียดเยอะมาก
     สถาปัตยกรรมแบบ Doric เป็นที่รู้จักเพราะชาวสปาตันนิยมใช้ มันสร้างขึ้นจากด้ามไม้ซึ่งภายหลังกลายเป็นหิน ตอนบนของด้ามไม้จะมีบุที่มีบล็อคไม้ทรงสี่เหลี่ยมอยู่ เสาค้ำขื่อที่เรียกว่า Architrave เสา Lonic จะมีลักษณะเรียวกว่าเสา Doric การสร้างต้องใช้แม่แบบและการตกแต่งโดยการแกะสลักด้วยศิลปะที่พริ้วไหว ส่วนบนสุดของผนังมีรายละเอียดที่สวยงาม 


หัวเสาแบบ Doric, Ionic, and Corinthian



วิหารพาร์เธนอน Parthenon



อะโครโพลิสแห่งเอเธนส์ ในกรีซ


4. ศิลปะยุคโรมัน (Roman Art)

     ราวประมาณ (พ.ศ.340 - พ.ศ.870) ศิลปะโรมันส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากกรีก ซึ่งมีองค์ประกอบที่ประณีต งดงาม แต่ศิลปะของโรมันเน้นความใหญ่โตมโหฬาร มีความหรูหรา สง่างาม มั่นคงแข็งแรง สถาปัตยกรรมโรมันมีชื่อเสียงมาก โรมันเป็นชาติแรกที่คิดค้นสร้างคอนกรีตได้ สามารถใช้คอนกรีตหล่อขึ้นเป็นโครงสร้างรูปโดมช่วยทำให้การก่อสร้างอาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น 
ด้านงานจิตรกรรรม
      จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอ และเฮอร์คิวเลนุม ซึ่งถูกถล่มทับด้วยลาวาจากภูเขาไฟวิสุเวียสเมื่อ พ.ศ. 622 และถูกขุดค้นพบในสมัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นภาพที่แสดงถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันของชาวโรมันนอกนั้นเป็นภาพในเทพนิยาย เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ลักษณะของภาพยังมีความงามที่สมบูรณ์ จิตรกรรมผาฝนังประกอบด้วยแผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักเลียนแบบหินอ่อน เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม มีการใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกับกาวน้ำปูน และสีขี้ฝึ้งร้อน นอกจากการวาดภาพ ยังมีภาพประดับด้วยเศษหินสี (Mosaic) ซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร 



ภาพจากสีฝุ่นผสมกับกาวน้ำปูนและสีขี้ผึ้งร้อน



ภาพจากหินสี




ด้านงานประติมากรรม

      ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะที่ถูกต้องทางกายภาพ เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย แต่ดูเข้มแข็งมาก ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือประติมากรรมรูปนูนต่ำเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราว เหตุการณ์ถูกต้อง ชัดเจน ประติมากรรมโรมันในยุคหลังๆ เริ่มเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนามากเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้สร้างประติมากรรมของโรมันมักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำริด ดังนั้นประติมากรรมในสมัยสาธารณรัฐจึงพอสรุปได้ว่ามี 4 อย่างคือ
     1. การสร้างเทวรูปเคารพซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของศิลปะกรีกแบบเฮเลนิสติก ซึ่งประติมากรโรมันจะขาดบุคลิกส่วนตัว
     2. ส่วนแนวที่สองนั้นทำตามรูปแบบเหมือนจริงตามแบบอีทรัสกันและชอบทำรูปเคารพบรรพบุรุษของตัวเอง
     3. นิยมทำภาพนูนสูงประดับอนุสาวรีย์หรือบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ประดับตัวสถาปัตยกรรม
     4. ทำรูปเหมือนบุคคล


ภาพนูนต่ำแสดงถึงประวัติศาสตร์โรมัน
                                                                 

อพอลโลเบลเวเดียร์

    
ด้านงานสถาปัตยกรรม
      สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่างๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้สร้างอาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรกที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวางและพัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาวกรีกใช้เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง แต่ชาวโรมันมักจะเพิ่มการตกแต่งลงไป โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไรนัก ลำเสาของกรีกจะเป็นท่อนๆ นำมาวางซ้อนต่อกันขึ้นไป แต่เสาของโรมันจะเป็นเสาหินท่อนเดียวตลอด รูปแบบอนุสาวรีย์ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัยเป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วยคำจารึก และรูปนูนต่ำบรรยายเหตุการณ์ ที่เป็นอนุสรณ์ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโรมัน คือสะพานส่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นทางส่งน้ำจากภูเขา มาสู่เมืองต่างๆ ของชาวโรมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัด



สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (The colosseum of Rome)



ประตูชัยฝรั่งเศส (The Arc de Triomphe)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น